เบื้องหลังและเหตุการณ์นำ ของ สนธิสัญญาญี่ปุ่น–สยาม พ.ศ. 2440

สนธิสัญญาไม่เป็นธรรมระหว่างสยามกับชาติตะวันตก

สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2398 เป็นจุดเริ่มต้นของการที่สยามมอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่ชาติตะวันตก

กฎหมายสยามที่ใช้ในสมัยรัตนโกสินทร์นั้นคือกฎหมายตราสามดวง ซึ่งสืบทอดมาจากสมัยอาณาจักรอยุธยา ลักษณะการลงโทษความผิดอาญาในกฎหมายตราสามดวงนั้นมีความรุนแรง หากเทียบกับกฎหมายสมัยปัจจุบัน ลักษณะอาญาหลวงมีโทษฟันคอริบเรือน ตัดมือตัดเท้า ใส่ตรุโดยยถากรรม ทวนด้วยไม้หวาย การพิจารณาคดีมีการดำน้ำลุยไฟพิสูจน์ ในการไต่สวนความอาญามีจารีตนครบาล ทรมานร่างกายผู้ต้องหา ตอกเล็บ บีบขมับ ใส่ตะกร้อให้ช้างเตะ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า สยามจำต้องทำสนธิสัญญาทางการค้ากับอังกฤษ เพื่อหลีกเลี่ยงภัยคุกคามทางการทหารจากอังกฤษ[3] เช่นเดียวกับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เซอร์ จอห์น เบาว์ริง (Sir John Bowring) ผู้ครองฮ่องกง และนายแฮร์รี พากส์ (Harry Parkes; เอกสารไทยเรียก ฮารีปาก) ผู้แทนอังกฤษ เดินเรือเข้ามาถึงกรุงเทพเมื่อพ.ศ. 2398 นำไปสู่การทำสนธิสัญญาเบาว์ริง[3] (Bowring Treaty) ซึ่งสยามยินยอมลดภาษีสินค้าขาเข้าให้แก่อังกฤษเหลือเพียงร้อยละสาม มอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขต (Extraterritoriality) ให้แก่อังกฤษ หมายถึงคนในบังคับของอังกฤษในสยามไม่ขึ้นศาลสยามและไม่อยู่ภายใต้กฎหมายสยาม แต่ขึ้นศาลกงสุลอังกฤษซึ่งตัดสินโดยใช้กฎหมายของอังกฤษเอง เนื่องจากชาวตะวันตกมีความเห็นว่ากฎหมายของสยามนั้นมีความโหดร้าย[4]ล้าหลังและไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกับชาติตะวันตก ชาวตะวันตกจึงไม่ต้องการอยู่ภายใต้กฎหมายสยามและไม่ต้องการขึ้นศาลสยาม

แฮร์รี พากส์ นำร่างสนธิสัญญาไปเสนอรัฐบาลอังกฤษที่กรุงลอนดอน ซึ่งรัฐบาลอังกฤษได้แก้ไขและเสนอข้อสัญญาเพิ่มเติมบางประการ[5] แล้วนายแฮร์รี พากส์จึงนำข้อสัญญากลับมาที่่กรุงเทพในพ.ศ. 2399 ระหว่างที่นายแฮร์รี พากส์อยู่ที่กรุงเทพฯนั้น[5] ทาวน์เซนด์ แฮร์ริส (Townsend Harris) ทูตอเมริกาที่กำลังจะเดินทางไปญี่ปุ่น เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ในพ.ศ. 2399 เพื่อทำสนธิสัญญากับสยามเช่นกัน นำไปสู่สนธิสัญญาแฮร์ริสระหว่างสยามและสหรัฐในพ.ศ. 2399 สยามมอบสิทธิทางการค้าภาษีต่ำและสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่สหรัฐ และอีกหกสัปดาห์ต่อมา[5] ชาลส์ เดอ มงติญยี (Charles de Montingy) ทูตฝรั่งเศสได้มาถึงกรุงเทพเช่นกัน ทำสนธิสัญญาในพ.ศ. 2399 สยามมอบสิทธิทางภาษีและสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในฝรั่งเศส หลังจากนั้นสยามได้ทำสนธิสัญญาที่มีเนื้อหาลักษณะเดียวกันนี้กับประเทศยุโรปอื่น ๆ ได้แก่เดนมาร์ก โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ และปรัสเซีย (เยอรมนี) ซึ่งสนธิสัญญาเหล่านี้เป็นสนธิสัญญาไม่เป็นธรรม (Unequal Treaties) กับสยาม ทำให้สยามสูญเสียอธิปไตยทางการคลังเสียอิสรภาพในการจัดเก็บภาษีทำให้รายได้ของราชสำนักลดลง และการมอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่ชาติตะวันตกนั้นเป็นการเสียอธิปไตยทางการศาล[4][6]

สนธิสัญญาไม่เป็นธรรมระหว่างญี่ปุ่นกับชาติตะวันตก

กฎหมายของราชสำนักญี่ปุ่นคือกฎหมายริตสึเรียว (Ritsuryō, 律令) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีต้นแบบมาจากจีนและรับเข้ามาตั้งแต่สมัยอาซูกะ แต่ต่อมาเมื่อราชสำนักพระจักรพรรดิญี่ปุ่นเสื่อมอำนาจลงและบากูฟุหรือรัฐบาลโชกุนขึ้นมามีอำนาจแทนที่ ทำให้กฎหมายริตซึเรียวไม่ได้นำมาใช้อย่างแท้จริง ในพ.ศ. 2158 ปฐมโชกุนโทกูงาวะ อิเอยาซุ ได้ประกาศใช้กฎหมายบูเกโชฮัตโต (Buke-shohatto, 武家諸法度) ซึ่งเป็นกฎหมายสำหรับชนชั้นซามูไร อย่างไรก็ตามรัฐบาลโชกุนส่วนกลางไม่ได้ตรากฎหมายเกี่ยวกับการค้าการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับสามัญชน ขุนนางผู้ครองแคว้นหรือไดเมียวเป็นผู้กำหนดกฎหมายเกี่ยวกับการค้าและการเกษตรในแคว้นของตนเอง กฎหมายของแต่ละแคว้นมีความแตกต่างกันไป ลักษณะโทษกฏหมายอาญาญี่ปุ่นในยุคจารีตนั้นมีความรุนแรง มีการใช้โทษประหารชีวิตบ่อยครั้ง โดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับชนชั้นซามูไร ซึ่งมีบทลงโทษด้วยการคว้านท้องตนเองหรือเซ็ปปูกุ หากสามัญชนหรือผู้ที่มีศักดิ์น้อยกว่าดูหมิ่นหลู่เกียรติของซามูไรหรือผู้มีศักดิ์มากกว่า ซามูไรหรือผู้มีศักดิ์นั้นสามารถใช้ดาบฟันผู้น้อยนั้นถึงแก่ความตายได้ทันทีโดยถูกกฎหมาย หากสามีจับได้ว่าภรรยามีชู้ได้คาหนังคาเขา สามีสามารถสังหารภรรยานั้นได้ทันที

ภาพพิมพ์ญี่ปุ่นเกี่ยวกับเรือดำ (Black Ships) หรือเรือปืนของพลเรือจัตวาแมทธิว เพร์รี (Commodore Matthew Perry) ซึ่งได้เข้ามายังนครเอโดะเมื่อพ.ศ. 2396 เพื่อบีบบังคับให้ญี่ปุ่นยุตินโยบายปิดประเทศและเปิดเมืองท่าเพื่อการพาณิชย์

ตั้งแต่พ.ศ. 2176 สมัยโชกุนโทกูงาวะ อิเอมิตสึ ญี่ปุ่นดำเนินนโยบายปิดประเทศหรือซาโกกุ ยุติตัดขาดความสัมพันธ์กับต่างชาติ จนกระทั่งในยุคบากูมัตสึ (Bakumatsu) หรือปลายยุคเอโดะ พ.ศ. 2396 พลเรือจัตวาแมทธิว เพร์รี (Commodore Matthew Perry) นายพลเรือชาวอเมริกัน ได้นำเรือปืนหรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกว่าเรือดำ เข้ามาที่อ่าวอูรางะให้กับนครเอโดะเพื่อบีบบังคับให้รัฐบาลโชกุนปิดประเทศทำการค้าขายกับสหรัฐ และปีต่อมาพ.ศ. 2397 นายเพร์รี่ได้ทำอนุสัญญาคานางาวะ (Convention of Kanagawa) กับรัฐบาลโชกุน โดยที่รัฐบาลโชกุนยินยอมเปิดเมืองท่าให้สหรัฐเข้ามาค้าขาย เป็นสิ้นสุดการปิดประเทศของญี่ปุ่น ทาวน์เซนด์ แฮร์ริสเดินทางออกจากกรุงเทพถึงญี่ปุ่นเมื่อปีพ.ศ. 2401 นำไปสู่สนธิสัญญาแฮร์ริส (Harris Treaty) ซึ่งรัฐบาลโชกุนได้มอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่ชาวอเมริกันซึ่งได้พำนักอยู่ในเมืองท่าในเขตที่รัฐบาลโชกุนกำหนด เป็นสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมฉบับแรกที่ญี่ปุ่นได้ทำกับชาติตะวันตก ต่อมารัฐบาลโชกุนได้ทำสนธิสัญญาในลักษณะเดียวกับกับชาติตะวันตกอื่นๆได้แก่อังกฤษ รัสเซีย เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส เรียกรวมกันว่าสนธิสัญญาปีรัชศกอันเซ (Ansei Treaties, 安政条約) ซึ่งชาติตะวันตกเหล่านี้ต่างเข้ามาตั้งศาลกงสุลในญี่ปุ่น ชาวชาติเหล่านี้ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายญี่ปุ่นแต่ขึ้นศาลกงสุลของชาติตนเองเมื่อเกิดคดีความ เนื่องจากชาวตะวันตกมองว่ากฎหมายญี่ปุ่นมีความโหดร้ายทารุณเฉกเช่นเดียวกับกฎหมายของอาณาจักรอื่นๆในเอเชีย นอกจากนี้ รัฐบาลโชกุนยังที่ทำข้อตกลงร่วมกับชาติตะวันตกต่างๆ ลดภาษีขาเข้าเหลือเพียงร้อยละห้า[7]

สนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ (Treaty of Amity and Commerce) ระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐเมื่อพ.ศ. 2401 เป็นจุดเริ่มต้นของการที่ญี่ปุ่นมอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่ชาติตะวันตก

การที่รัฐบาลโชกุนยินยอมทำตามข้อเรียกร้องที่ไม่เป็นธรรมของชาติตะวันตกทำให้เกิดกระแสต่อต้านชาวตะวันตกขึ้นเรียกว่าซนโนโจอิ (Sonnō jōi, 尊皇攘夷) แปลว่า"เชิดชูพระจักรพรรดิ ขับไล่อนารยชน" จนพัฒนาไปกลายเป็นขบวนการต่อต้านระบอบรัฐบาลโชกุน ในพ.ศ. 2411 โชกุนโทกูงาวะ โยชิโนบุ ถวายคืนอำนาจแด่สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ เป็นการสิ้นสุดระบอบโชกุนที่ดำเนินมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี แต่ทว่ายังเกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายพระจักรพรรดิและฝ่ายรัฐบาลโชกุนเดิม นำไปสู่สงครามโบชิง (Boshin War) ซึ่งฝ่ายพระจักรพรรดิได้รับชัยชนะ ระบอบการปกครองใหม่ในยุคเมจิมีผู้นำการปฏิวัติเมจิขึ้นมามีอำนาจ เรียกว่า คณาธิปไตยเมจิ (Meiji Oligarchy)

ญี่ปุ่นเจรจายกเลิกสนธิสัญญาไม่เป็นธรรม

คณะผู้แทนรัฐบาลเมจิ นำโดยอิวากูระ โทโมมิ (Iwakura Mission) เดินทางเยือนทวีปยุโรปและสหรัฐ ในระหว่างพ.ศ. 2414 ถึงพ.ศ. 2417 เพื่อศึกษาการปกครองและวิทยาการของตะวันตก รวมทั้งเพื่อเจรจากยกเลิกสนธิสัญญาไม่เป็นธรรม

รัฐบาลเมจิมีความเห็นว่า การที่รัฐบาลโชกุนในยุคก่อนหน้าได้มอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่ชาติตะวันตกต่างๆนั้น เป็นการลิดรอดอำนาจอธิปไตยของญี่ปุ่น ในพ.ศ. 2414 คณะรัฐบาลเมจิ นำโดยอิวากูระ โทโมมิ เดินทางไปยังทวีปยุโรปและสหรัฐ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับระบอบการปกครองและวิทยาการของชาวตะวันตก และเพื่อเจรจายกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ญี่ปุ่นได้เคยมอบไว้ ปรากฏว่าอิวากูระ โทโมมิ ค้นพบว่าชาติตะวันตกต่างๆนั้นไม่ยินยอมที่จะยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตได้อย่างง่ายโดยไม่มีสิ่งตอบแทน ทั้งอังกฤษและสหรัฐแจ้งแก่อิวากูระ โทโมมิว่า ชาติตะวันตกจะยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตคืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ญี่ปุ่น ก็ต่อเมื่อญี่ปุ่นได้ทำการปฏิรูปปรับปรุงกฎหมายให้เป็นสมัยใหม่ในแนวทางเดียวกับชาติตะวันตกแล้วเท่านั้น เมื่อกลับถึงญี่ปุ่น คณะรัฐบาลเมจิจึงได้ดำเนินการปฏิรูปปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยอย่างขนานใหญ่และรวดเร็ว มีการจ้างชาวตะวันตกจำนวนหลายพันคนเรียกว่าโอยาโตอิ ไกโกกูจิน (O-yatoi gaikokujin, 御雇い外国人) เข้ามาทำงานให้รัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อถ่ายทอดวิทยาการในด้านเทคโนโลยีวิศวกรรม การแพทย์ ฯลฯ ญี่ปุ่นทำการปฎิรูปกฎหมายขึ้นใหม่ตามแบบอย่างกฎหมายลายลักษณ์อักษรแบบฝรั่งเศส[7] และได้ให้ฌุสตาฟ บัวซ์โซนาด (Gustave Boissonade) นักกฎหมายชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ร่างกฎหมายอาญา[7] จนญี่ปุ่นสามารถประกาศใช้กฎหมายอาญาสมัยใหม่ได้ในที่สุดพ.ศ. 2423

เมื่อสามารถประกาศใช้กฎหมายสมัยใหม่ได้แล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นจึงเริ่มต้นการเจรจายกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและยกเลิกข้อบังคับทางภาษีอีกครั้ง สหรัฐและเยอรมันนีสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นในการยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต แต่อังกฤษโดยเฉพาะแฮร์รี พากส์ (ฮารีปาก) กงสุลใหญ่ของอังกฤษประจำญี่ปุ่น ไม่เห็นด้วยและขัดขวางการยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของญี่ปุ่น ในพ.ศ. 2425 อิโนอูเอะ คาโอรุ (Inoue Kaoru, 井上 馨) จัดประชุมผู้แทนชาติตะวันตกทั้งหลายในญี่ปุ่น เพื่อยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต[7] โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือชาวตะวันตกจะสามารถเดินทางและพำนักที่ใดก็ได้ในญี่ปุ่น จากเดิมที่ถูกจำกัดอยู่แต่ตามเมืองท่าเท่านั้น แต่เมื่อชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะกลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรงเรียกว่ากลุ่มชิชิ (Shishi, 志士) ได้ทราบข่าวว่ารัฐบาลกำลังจะอนุญาตให้ชาวตะวันตกเดินทางในญี่ปุ่นได้อย่างเสรี จึงเกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลอย่างหนัก ทำให้รัฐมนตรีอิโนอูเอะจำต้องลาออก รัฐมนตรีต่างประเทศคนต่อมาคือโอกูมะ ชิเงโนบุ (Ōkuma Shigenobu, 大隈 重信) ใช้อุบายทำสนธิสัญญากับเม็กซิโกในพ.ศ. 2431 โดยที่ชาวเม็กซิโกในญี่ปุ่นจะอยู่ภายใต้กฎหมายญี่ปุ่น แลกเปลี่ยนกับการที่ชาวเม็กซิโกจะสามารถเดินทางได้อย่างเสรีในญี่ปุ่น เพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่ชาติตะวันตกอื่นๆได้เห็น แต่ทว่าอังกฤษกลับอ้างข้อสัญญาเกี่ยวกับ"ชาติที่ได้อนุเคราะห์ยิ่ง" (Most Favoured Nation) ว่าหากชาติใดได้รับสิทธิ์ ชาติอื่นก็จะได้รับสิทธิ์นั้นเช่นกันอย่างไม่น้อยหน้า[7] การที่โอกูมะยินยอมให้ชาวเม็กซิโกเดินทางได้อย่างเสรีเท่ากับยินยอมให้ชาวอังกฤษเดินทางได้อย่างเสรีเช่นกัน แม้ว่าสหรัฐ เยอรมันนี และรัสเซีย จะยินยอมยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในที่สุดในพ.ศ. 2432[7] แต่ความผิดพลาดของโอกูมะสร้างความโกรธแค้นให้แก่กลุ่มชิชิอย่างมาก จนโอกูมะถูกลอบวางระเบิดได้รับบาดเจ็บ

อาโอกิ ชูโซ (Aoki Shūzō) รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น ผู้มีบทบาทในการเจรจายกเลิกสนธิสัญญาไม่เป็นธรรม ที่ญี่ปุ่นได้เคยทำไว้กับชาติตะวันตก

ในพ.ศ. 2432 รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศใช้รัฐธรรมนูญเมจิ (Meiji Constitution) ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกในพ.ศ. 2433 รัฐมนตรีต่างประเทศคนต่อมาคืออาโอกิ ชูโซ (Aoki Shūzō, 青木 周藏) ดำเนินการเจรจากับอังกฤษ แต่ทว่าเกิดเหตุการณ์ชาวญี่ปุ่นทำร้ายพระวรกายของมกุฎราชกุมารนิโคลาสแห่งรัสเซีย ในเหตุการณ์โอตสึ (Ōtsu Incident) ในพ.ศ. 2434 ทำให้ต้องเปลี่ยนรัฐบาลอีกครั้ง ต่อมาคือสมัยของนายกรัฐมนตรีอิโต ฮิโรบูมิ ได้ส่งอาโอกิ ชูโซเป็นผู้แทนญี่ปุ่นไปยังกรุงลอนดอนในพ.ศ. 2436 จนสามารถบรรลุสนธิสัญญายกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตกับอังกฤษได้สำเร็จเป็นชาติสุดท้ายในพ.ศ. 2437 เรียกว่าสนธิสัญญาอาโอกิ-คิมเบอร์ลี (Aoki-Kimberly Treaty)[7] ญี่ปุ่นจึงสามารถเจรจายกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ได้เคยมอบให้แก่ชาติตะวันตกได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในที่สุด ญี่ปุ่นได้อธิปไตยทางการคลังและทางการศาลคืน

ในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังเจรจายกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตกับชาติตะวันตกอยู่นั้น ญี่ปุ่นเองก็ได้ทำสนธิสัญญาไม่เท่าเทียมกับอาณาจักรอื่นในเอเชียเช่นกัน ในพ.ศ. 2414 ญี่ปุ่นและจีนราชวงศ์ชิงต่างฝ่ายต่างมอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่กันและกัน ในพ.ศ. 2418 รัฐบาลญี่ปุ่นเมจิส่งเรือรบไปยึดเกาะคังฮวา บังคับให้ราชสำนักเกาหลีราชวงศ์โชซ็อนทำสนธิสัญญาคังฮวา (Ganghwa Treaty) ในพ.ศ. 2419 ซึ่งโชซ็อนยินยอมเปิดเมืองท่าให้ญี่ปุ่นค้าขายและมอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่ญี่ปุ่น การแข่งขันอำนาจกันระหว่างจักรวรรดิญี่ปุ่นและจักรวรรดิจีนเหนือคาบสมุทรเกาหลีนำไปสู่สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (First Sino-Japanese War) ซึ่งญี่ปุ่นได้รับชัยชนะ ในสนธิสัญญาชิโมโนเซกิ (Treaty of Shimonoseki) ในพ.ศ. 2438 จีนราชวงศ์ชิงต้องมอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่ญี่ปุ่นฝ่ายเดียว และเมื่อญี่ปุ่นมีชัยชนะในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (Russo-Japanese War) อีกครั้งในพ.ศ. 2447 ทำให้ญี่ปุ่นรุ่งเรืองก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจระดับโลกทัดเทียมชาติมหาอำนาจตะวันตกอื่นๆ

คำปฏิญาณไมตรีระหว่างญี่ปุ่นและสยาม พ.ศ. 2430

ในพ.ศ. 2427 เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) กราบทูลลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีการต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงมีพระราชโองการแต่งตั้งให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทวะวงศ์วโรปการ ให้ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีการต่างประเทศต่อมา[1] ในพ.ศ. 2430 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ เสด็จเป็นผู้แทนพระองค์ ไปยังกรุงลอนดอนประเทศสหราชอาณาจักรเพื่อทรงเข้าร่วมงานกาญจนาภิเษก (Golden Jubilee) ฉลองการครองราชสมบัติครบห้าสิบปีของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย หลังจากเสร็จสิ้นพระกรณียกิจที่กรุงลอนดอนแล้ว กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการจึงเสด็จต่อไปยังกรุงปารีส กรุงสต็อกโฮล์ม กรุงเบอร์ลิน เสด็จนิวัติทางประเทศสหรัฐทางกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และเสด็จด้วยเรือนิวยอร์กถึงกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น[1]

เมื่อกรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการเสด็จเยือนกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2430 นั้น รัฐบาลของทั้งญี่ปุ่นและสยามต่างมีความประสงค์ที่จะจัดตั้งความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการทรงได้พบกับอาโอกิ ชูโซ (Aoki Shūzō) รัฐมนตรีช่วยการต่างประเทศของญี่ปุ่น นำไปสู่คำปฏิญานว่าด้วยสัมพันธไมตรีและการค้าระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับประเทศสยาม[8] เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2430[1] โดยมีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ ทรงเป็นผู้แทนฝ่ายสยาม และอาโอกิ ชูโซ เป็นผู้แทนฝ่ายญี่ปุ่น ในคำปฏิญานนี้ ญี่ปุ่นและสยามได้จัดตั้งความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน รับรองสิทธิซึ่งแต่ละฝ่ายสามารถตั้งผู้แทนทางการทูตไปประจำที่ประเทศของอีกฝ่าย และสัญญาว่าจะอำนวยความสะดวกในทางค้าขายและความปลอดภัยให้ต่อกัน ดังเช่นชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง[8] (Most Favoured Nation) คำปฏิญาณญี่ปุ่น-สยาม พ.ศ. 2430 นี้ มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันกันเมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2430[1] (นับอย่างใหม่ พ.ศ. 2431) เป็นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและสยาม ซึ่งได้ยุติลงไปนับตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง

การปฏิรูปกฎหมายของสยาม

อังกฤษยึดได้พม่าทั้งหมดหลังจากสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่สาม (Third Anglo-Burmese War) พ.ศ. 2428 และฝรั่งเศสได้เว้อันนัมเวียดนามตอนกลางในพ.ศ. 2426 และได้ตังเกี๋ยเวียดนามภาคเหนือในพ.ศ. 2429 การที่อังกฤษและฝรั่งเศสยึดได้ดินแดนอาณานิคมเพิ่มเติมนี้ ทำให้มีชาวตะวันตกเข้ามาทำธุรกิจค้าขายในหัวเมืองภาคเหนือของสยามหัวเมืองลาวล้านนาและล้านช้างมากขึ้น หากชาวตะวันตกในสยามภาคเหนือเกิดคดีความข้อพิพาทจะไม่ขึ้นศาลสยามแต่ขึ้นศาลกงสุลของชาติตนที่กรุงเทพฯ ในทางปฏิบัติการเดินทางระหว่างกรุงเทพฯและดินแดนหัวเมืองภาคเหนือเป็นไปอย่างยากลำบาก ทำให้ศาลกงสุลของอังกฤษที่กรุงเทพฯไม่อาจดูแลคดีความในล้านนาได้อย่างทั่วถึง สนธิสัญญาเชียงใหม่ (Chiengmai Treaty) พ.ศ. 2426[5] ระหว่างสยามและอังกฤษ ระบุให้มีการจัดตั้งสถานกงสุลและแต่งตั้งรองกงสุลอังกฤษที่เชียงใหม่ขึ้นอีกแห่งหนึ่ง และจัดตั้ง"ศาลประสม"หรือศาลผสม (Mixed Court) หรือศาลนานาชาติ (International Court) ขึ้นที่เชียงใหม่ ประกอบด้วยผู้พิพากษาชาวสยามและรองกงสุลอังกฤษ มีหน้าที่พิจารณาคดีความของ"สัปเยก"อังกฤษที่เกิดขึ้นในล้านนา โดยรองกงสุลอังกฤษที่เชียงใหม่มีอำนาจแทรกแซงการพิจารณาคดีนั้นได้ตามสมควร การจัดตั้งศาลผสมนี้เป็นการผ่อนปรนสิทธิสภาพนอกอาณาเขตยอมให้สัปเยกอังกฤษมาขึ้นศาลสยาม[5] แม้ว่าจะเป็นศาลผสมก็ตาม ต่อมาสยามได้บรรลุข้อตกลงในลักษณะเดียวกันกับฝรั่งเศสในพ.ศ. 2429 โดยมีการจัดตั้งสถานกงสุลฝรั่งเศสและตั้งศาลผสมที่เมืองหลวงพระบาง[5]

ในพ.ศ. 2435 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงตั้งกระทรวงยุติธรรมเพื่อรวบรวมศาลต่างๆของสยามที่กระจายอยู่ตามกรมต่างๆให้มาอยู่รวมกันที่เดียว และในปีเดียวกันทรงแต่งตั้งให้นายฌุสตาฟ รอแล็ง-ฌักแม็ง (Gustave Rolin-Jacquemyns) หรือโรลังยัคมินส์ นักกฎหมายชาวเบลเยี่ยม ให้เป็นที่ปรึกษาประจำพระองค์[9] ปีต่อมาพ.ศ. 2436 เกิดเหตุการณ์วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 สยามจำต้องยกดินแดนลาวทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงทั้งหมดให้แก่ฝรั่งเศส และยังเกิดปัญหาเกี่ยวกับการพิจารณาคดีความของพระยอดเมืองขวาง[1] ในปีต่อมาพ.ศ. 2437 โรลังยัคมินส์กราบทูลว่าสมควรให้มีการปฏิรูปกฎหมายของสยามให้ทันสมัยและเป็นแนวเดียวกับชาติตะวันตก เพื่อป้องกันมิให้ชาติมหาอำนาจตะวันตกเข้ารุกล้ำอธิปไตยของสยามอีก[9] และกราบทูลให้ทรงตั้ง"เลยิสลาติฟ เคาน์ซิล" (Legislative Council) หรือ"ที่ประชุมปรึกษากฎหมาย"ขึ้น เพื่อทำการร่างกฎหมายสยามใหม่ทั้งหมดตามแบบสมัยใหม่ตะวันตก ในขณะเดียวกันพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ทรงสำเร็จวิชาเนติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดและได้รับโปรดฯแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมในพ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯจึงทรงตั้ง"คณะกรรมการตรวจร่างและชำระกฎหมาย"ขึ้นในพ.ศ. 2439 โดยมีพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์เป็นองค์ประธาน คณะกรรมการประกอบด้วยนักกฎหมายชาวต่างประเทศได้แก่เจ้าพระยาอภัยราชา (โรลังยัคมินส์) นายริชาร์ด เคิร์กแพทริก (Richard Kirkpatrick) นักกฎหมายชาวเบลเยี่ยมอีกคนหนึ่ง คณะกรรมเห็นชอบให้ใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษรแบบฝรั่งเศสเป็นต้นแบบในการร่างกฎหมาย เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ในโลกใช้ระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษร หนึ่งในคณะกรรมนี้มีนักกฎหมายชาวญี่ปุ่นคือมาซาโอะ โทกิจิ (Masao Tokichi, 政尾藤吉) ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพระยามหิธรมนูปกรณ์โกศลคุณอยู่ด้วย